ชีวิต คือ อะไร?"
ชีวิต คือ การเดินทาง คือ การเติบโต คือ ความสัมพันธ์
ชีวิตจำต้อง "ต่อติด" กับแหล่งแห่งชีวิต ทุกอย่างต้อง "พึ่งพิง" แหล่งแห่งชีวิตเสมอ จึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ลองมองที่ทุก ๆ สิ่งรอบ ๆ ตัวคุณดูสิครับ เมล็ดพืช ต้อง "ถูกฝัง" อยู่ในดิน ต้อง "ได้น้ำ" "ได้รับ" แสงแดด มันจึงเติบโตขึ้นมาได้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้อง "มี" ลมหายใจ "มี" ต้นกำเนิด มันถึงมีชีวิตได้ ร่างกาย "ต่อติด" กับวิญญาณ ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณก็ตายแล้วฉันใด ชีวิตคนเราที่ปราศจากพระคริสต์ก็ตายแล้วฉันนั้น เพราะพระเยซูคริสต์ เป็น แหล่งแห่งชีวิต พระองค์เป็นผู้ประพันธ์ชีวิต
หากวันนี้ คุณสับสน งุนงง และ หลงทาง ไม่รู้ว่าคุณมาจากไหน? อยู่ไปเพื่ออะไร? หรือ ตายแล้วไปไหน? วันนี้ คุณจะพบกับคำตอบสำหรับคำถามที่ทุกคนได้เฝ้าถามกันเรื่อยมาแล้วครับ คุณจะได้พบยิ่งกว่าคำตอบสำหรับทุกปัญหาของคุณ เพราะคุณจะได้พบกับพระองค์ผู้เป็นเบื้องต้น และ เบื้องปลาย ผู้เป็นปฐม และ อวสาน พระองค์ผู้ดำรงอยู่ก่อนกาลเวลา และจะดำรงอยู่เสมอไป เมื่อกาลเวลาหมดไปแล้ว พระนามของพระองค์ คือ องค์พระเยซูคริสต์ และ ชีวิตของคุณเริ่มต้นจากพระองค์ครับ
สังเกตไหมครับว่า ทุก ๆ ชีวิตบนโลกนี้ เริ่มต้นจาก สิ่งเล็ก ๆ ที่ดูไม่สำคัญ ดูเหมือนไม่น่าจะมีชีวิต และบางคนถึงกับมองข้ามมันไป หรือ บางสิ่งก็เอาเปรียบมัน ข่มเหงหรือกินมัน อย่างเมล็ดพืช หรือ ไข่ปลา ไข่นก ไข่ไก่ หรือ เซลล์เล็ก ๆ สองเซลล์มารวมกัน ก็กำเนิดชีวิต ซึ่งเมื่อเติบโตก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อน มีพลัง สติปัญญา ยิ่งใหญ่ และเติบโตขยายจำนวนและปริมาณมากกว่าตอนเริ่มต้นหลายร้อยหลายพันเท่า แม้ชีวิตจะมหัศจรรย์อย่างนี้ เมื่อแรกเริ่มนั้น มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีกครับ ชีวิตที่เราเห็นทุกวันนี้ มาจากชีวิตที่พระเจ้าเริ่มต้น และอวยพระพรไว้ "จงมีลูกดกเต็มแผ่นดิน" ทุกชีวิตที่เราเห็นเกิดมาบนโลกนี้ มาจากพ่อและแม่ที่มีชีวิตเสมอ และพระเจ้าเองเป็นผู้สร้างพ่อและแม่คู่แรก แบบพิมพ์อันแรกจากไม่มีอะไรเลย นั่นคือ ด้วย "คำพูด" ของพระองค์ ทุกสิ่งก็เกิดขึ้น และพระองค์ไม่ได้ปล่อย หรือ ละทิ้ง สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไปอย่างที่ใคร ๆ เขาสอนคุณนะครับ ตรงกันข้าม พระองค์ดำรงอยู่ พิทักษ์รักษา และดูแลอยู่เสมอ ที่น่ามหัศจรรย์ใจกว่านั้นคือ พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดนี้ เพื่อ คุณครับ
พระเจ้าสร้างคุณมา เพื่อที่จะเพิ่มพูน ครอบครอง ปกครอง และ ดูแล ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นครับ ใช่ครับ คุณ มา จาก พระเจ้า คุณ เกิด มา เพื่อที่จะ ครอบครอง และ ดูแล ทุกสิ่งที่พระเจ้าได้มอบไว้ให้กับคุณแล้ว คุณไม่ได้เกิดมาจากความบังเอิญ จากความพลาดพลั้ง หรือ จากความตั้งใจของมนุษย์คนไหน คุณเกิดมาเพราะพระเจ้าพอใจ และ ตั้งใจให้คุณ มาเป็นผู้ครอบครองทุกสรรพสิ่งร่วมกันกับพระองค์ครับ คุณไม่ได้เกิดมาชดใช้กรรม คุณเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง ลูกของกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ลูกของพระเจ้าเหนือพระทั้งปวง ใช่ครับ คุณ นั่นแหละครับ ที่พระเจ้ากำลังพูดถึง คุณ คือ บุคคล สำคัญของพระเจ้า และ คุณ คือ บุคคลสำคัญ ที่ทุกสิ่งในโลกนี้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้มาเกิด
นี่ผมพูดเอาเองหรือ? ไม่ใช่ครับ พระเจ้าเองต่างหากที่พูดสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นคำสอนใหม่หรือ? ไม่ใช่ครับ มีบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์มากว่าพัน ๆ ปีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น ทำไมโลกนี้ จึงมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก อาชญากรรม ภัยพิบัติอย่างนี้ ก็เพราะว่าโลกนี้รอคอย "คุณ" อยู่ไงครับ ที่จะทำการปลดปล่อยให้กับมัน โรม 8.19-21 กล่าวว่า "สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง จดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในสภาพดังกล่าว ด้วยมีความหวังว่า สรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า" ครับ บุตรของพระเจ้า ก็ คือ คุณ ไงครับ
แล้วคุณจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้อย่างไรหรือครับ ในเมื่อคุณเองก็มีพ่อแม่อยู่แล้ว? ก็ด้วย "การรับเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า" ไงครับ แล้วทำได้ยังไงหรือครับ ก็เหมือนกับที่คุณทำเวลาที่คุณจะรับใครมาเป็นลูกบุญธรรมนะแหล่ะครับ นั่นก็คือ คุณก็ต้อง "ประกาศ" เจตจำนงของคุณให้ทุก ๆ คนรู้และรับทราบ ด้วย "คำมั่นสัญญา" และ ด้วย "การกระทำ" จริง ๆ พระคำพระเจ้ากล่าวว่า "ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าคือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ (จากสายเลือด) หรือ จากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือ จากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า" ยอห์น 1.12-13 ครับ คุณ "ยอมรับ" ด้วยปาก "เชื่อ" ในองค์พระเยซูคริสต์ ด้วยใจของคุณ คุณก็ได้รับ "สิทธิ" จากพระองค์แล้วให้เป็นลูกของพระเจ้า นี่แหละครับการรับเป็นบุตรบุญธรรม เพราะบุตรบุญธรรม ไม่ได้มากจาก "สายเลือด" ไม่ได้มาจากคนอื่น "ตัดสินใจ" แทนคุณ หรือ "สั่ง" ให้คุณทำ คุณเองได้ตัดสินใจเชื่อไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเต็มใจและตั้งใจจริง อย่างนี้แหละครับ พระคำเรียกว่า "เกิดจากพระเจ้า"
และการเกิดจากพระเจ้าได้นั้น ก็โดยการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือ พระวิญญาณของพระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าเอง ทำงานในใจของคุณ ให้คุณ "เกิดใหม่" ในพระองค์ ชีวิตเก่าของคุณก็ตายแล้ว และ คุณมีชีวิตใหม่ ในพระองค์ เพราะเวลานี้คุณได้ "ต่อติด" กับแหล่งแห่งชีวิตแล้ว บาปผิดกรรมเวรทั้งสิ้นที่คุณทำมา พระเยซูคริสต์รับไปไว้บนพระองค์หมดแล้ว และพระองค์ตายแทนที่คุณเพราะบาปกรรมเวรของคุณแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เวลานี้ พระองค์ปลดปล่อยคุณให้เป็นไท มีเสรีภาพ พระเยซูคริสต์ตายเพื่อคุณจะได้ชีวิต และสามวันต่อมาพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายเป็นคนแรก ที่เป็นขึ้นจากความตายแล้วไม่ตายอีกเลย เพื่อที่พระองค์จะบอกคุณว่า คุณเองก็สามารถมีประสบการณ์อย่างพระองค์นี้ได้เหมือนกัน เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระองค์ฝังอยู่ในตัวคุณแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ เมล็ดพันธุ์แห่งแผ่นดินสวรรค์
ใช่แล้วครับ เมื่อคุณต่อติดกับองค์พระเยซูคริสต์ คุณก็จะพบคุณค่าและเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริงของคุณได้ และรู้ว่าคุณมาจากไหน คุณอยู่ที่นี่เพื่ออะไร และคุณกำลังจะไปที่ไหน เพราะว่า "พระเยซู ผู้เป็นพยานที่ซื่อสัตย์ เป็นคนแรกที่ฟื้นขึ้นจากความตาย และเป็นผู้มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายในโลกนี้ พระเยซูคริสต์รักเรา และปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระจากบาปของเราด้วยเลือดของพระองค์ พระองค์ทำให้เราเป็นพวกกษัตริย์ และ เป็นพวกนักบวชที่รับใช้พระเจ้า พระบิดาของพระองค์ ขอให้พระเยซูคริสต์ได้รับเกียรติ และ มีฤทธิ์อำนาจตลอดกาล อาเมน" วิวรณ์ 1.5-6 (ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) ทั้งกษัตริย์และนักบวชเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและมีความรับผิดชอบสูง กษัตริย์เป็นตัวแทนของประชาชนในยามทำศึกสงคราม นักบวชเป็นตัวแทนของประชาชนต่อพระเจ้าในยามสันติ และทั้งสองตำแหน่งก็เชื่อฟังพระเจ้า ต่อติดกับพระองค์และเป็นตัวแทนของพระเจ้าแก่ประชาชน คุณเกิดมาเพื่อจะดำรงสองตำแหน่งนี้แหละครับ ภายใต้องค์พระเยซูคริสต์ ผู้เป็น "กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และ พระเจ้าเหนือพระทั้งปวง"
บางคนอาจจะยังคิดว่า โห ใหญ่เกินไปหรือเปล่า ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจอะไรขนาดนั้น ฉันจะมีความรับผิดชอบใหญ่โตอย่างนั้นได้อย่างไร? หากคุณมีท่าทีอย่างนี้ คุณจึงเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดแล้วครับ หา? ได้ยังไง? เพราะเมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณทำไม่ได้ เมื่อนั้นคุณก็จะพึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์มองมาที่ผู้คนแล้วกล่าวว่า "คนที่รู้ตัวว่าต้องการพระเจ้า มีเกียรติจริง ๆ เพราะเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า" มัทธิว 5.3 (ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) เพราะว่าในแผ่นดินของพระองค์ ทุกคน "พึ่ง" พระเจ้าครับ พระเยซูกล่าวต่อว่า "คนที่มีจิตใจอ่อนโยน มีเกียรติจริง ๆ เพราะพระเจ้าจะให้โลกนี้กับเขา" มัทธิว 5.5 (ฉบับอ่านเข้าใจง่าย) พระเจ้าไม่ได้มอบโลกทั้งใบให้กับคนที่หยิ่งผยอง หรือ ยึดมาด้วยใช้กำลังอาวุธ หรือ คดโกงนะครับ พระเจ้ามอบให้กับคนที่มีจิตใจอ่อนโยน กับ ถ่อมสุภาพ ครับ ทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้หรือครับ ก็เพราะว่า "แผ่นดินโลก และ ทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า โลกและทุกชีวิตในโลกเป็นของพระองค์" สดุดี 24.1 พระเจ้าจะมอบให้กับใครก็ได้ "เพราะการยกขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันตก และมิใช่มาจากถิ่นทุรกันดาร แต่พระเจ้าต่างหากที่ทรงเป็นผู้ตัดสิน ทรงให้คนหนึ่งลง และทรงยกอีกคนหนึ่งขึ้น" สดุดี 75.6-7 (อมตธรรมร่วมสมัย) พระองค์เป็นพระเจ้า ทุกชีวิตเป็นของพระองค์ และพระองค์เลือกคุณ และแต่งตั้งคุณไว้ ให้เพิ่มพูน และครอบครองร่วมกับพระองค์ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือ ยอมรับ เชื่อฟัง และทำตามพระองค์ครับ พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ พร้อมกับความสามารถพิเศษฝ่ายวิญญาณให้กับคุณแล้ว ซึ่งความสามารถเหล่านี้ สะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์ และพระองค์อยู่ในตัวคุณแล้วครับ
แล้วทำไมถึงไม่มีคนมาบอกคุณถึงเรื่องราวเหล่านี้ตั้งนานแล้ว? ทำไมคุณถึงไม่รู้เหรอครับ? ก็เพราะว่า ชีวิต คือ การค้นหา และ การค้นพบครับ
ทำไมพระเจ้าถึงฝังทองคำ เพชรพลอย น้ำมัน แร่ธาตุ และอัญมณีล้ำค่าไว้ในชั้นหิน? ไว้ในใต้ดินที่ไม่คนเดินดินมองเห็นได้ หรือ นกในอากาศมองเห็นได้? หรือ ที่คนไทยขนานนามกันเสมอมาว่า “เพชรในตม“ ทำไม? พระเจ้าชอบเล่นซ่อนหาหรือ?
ขณะที่คุณกำลังมองหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ คุณก็จะระลึกขึ้นได้ว่า แท้จริง คุณเองก็ชอบเล่นซ่อนหา เพราะความสนุกของการละเล่นนี้ ไม่ได้อยู่ที่คุณซ่อนตัวเก่งแค่ไหน หรือ พระเจ้าซ่อนตัวพระองค์เก่งแค่ไหน แต่จุดประสงค์และความสนุกของเกมส์อยู่ที่ การที่คุณได้ถูกค้นพบต่างหากครับ เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างคุณขึ้นมาอย่างชาญฉลาดและมีปัญญาเหมือนพระองค์ ครับ คุณถูกสร้างขึ้นมา “ตามพระฉายา“ หรือ พระลักษณะของพระองค์นั่นเอง ที่จะ “ค้นพบ“ “ค้นคว้า““ค้นหา“ และ “พบเจอ“ สิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าได้ซ่อนไว้
เมื่อเราพยายามทำความเข้าใจว่า “ทำไมพระองค์ถึงทำอย่างนั้น?” ทำไมพระองค์ไม่วางทองคำ เพชรพลอย แร่เงิน น้ำมัน แร่ธาตุต่าง ๆ ไว้บนพื้นเลยละ ให้เดินเก็บกันได้สบาย ๆ ? คุณเองก็จะระลึกขึ้นได้ว่า “อะไรก็ตามที่ได้มันมาง่าย ๆ เราก็จะไม่เห็นคุณค่าของมัน“ ครับ หากทองคำมีอยู่ตามพื้น เก็บได้ง่ายเหมือนก้อนหิน ใครๆ เขาก็มีกัน คุณค่าของมันก็จะลดลงเหลือแค่เท่าก้อนหินครับ คนไทยเราใช้คำว่า “ของหายาก“ มันทำให้ดูมีคุณค่า น่าเก็บรักษา น่าหามาไว้ น่าเป็นเจ้าของ และน่าจับจองครับ
ทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้หรือครับ? ก็เพราะว่า สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในจักรวาลนี้ ไม่ใช่ทองคำ เพชรพลอย น้ำมัน แร่ธาตุ หรือ อัญมณีล้ำค่าครับ สิ่งที่มีคุณ่ามากที่สุดในจักรวาลนี้ สำหรับพระเจ้า ก็คือ ตัวคุณเองครับ คุณมีค่ายิ่งกว่าสิ่งมีค่าทั้งปวงใด ๆ ในโลกนี้ หรือ ในจักรวาลนี้ ผมไม่ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเองนะครับ พระเยซูคริสต์เป็นผู้กล่าวครับ และ พระองค์สำแดงหัวใจของพระบิดาเจ้าให้คุณได้รับรู้ว่า คุณนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าขุมสมบัติใด ๆ
พระเยซูคริสต์บอกว่า “อาณาจักรสวรรค์ เปรียบเหมือน ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้า ก็กลับซ่อนไว้ และด้วยความตื่นเต้นยินดี จึงไปขายทุกสิ่งที่มี แล้วมาซื้อทุ่งนานั้น“ และ “อาณาจักรสวรรค์ เปรียบเหมือน พ่อค้า ที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเขาได้พบ ไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่ง จึงไปขายทุกสิ่งที่มี มาซื้อไข่มุกนั้น“ มัทธิว13.44-46
อาณาจักรสวรรค์ คือ พระเยซูคริสต์ คุณคือ ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ คือ ไข่มุกล้ำค่า สำหรับพระองค์ พระองค์ ตื่นเต้นยินดีมาก เมื่อพบ เมื่อ เจอ คุณ เพราะพระองค์ได้เสาะหาคุณมานาน และทุกหนทุกแห่ง จนถึงวันนี้ ที่พระองค์ได้พบคุณแล้ว พระองค์ “ขายทุกสิ่งที่มี“ เพื่อจะได้จับจอง เป็นเจ้าของคุณ เพื่อจะได้คุณมาอยู่ในครอบครอง ในอ้อมแขน ในอ้อมกอด มา “เป็นของพระองค์“ คุณเข้าใจไหมครับว่า ชีวิตของคุณนั้นมีคุณค่าสำหรับพระองค์มากแค่ไหน
วันนี้ หากคุณได้เข้าใจความจริงข้อนี้แล้วนั้น ผมก็ขอเชิญชวนคุณให้มารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงสละทุกสิ่ง แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง เพื่อรับโทษผิดบาปกรรมเวรของคุณ แทนที่คุณ พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องตาย แต่ผ่านความตายไปสู่ชีวิต ชีวิตของพระองค์ ชีวิตอย่างพระเจ้า พระองค์แลกที่กับคุณ พระเยซูคริสต์ตายเพื่อคุณทั้งหลายจะได้มีชีวิตในพระองค์ และเมื่อคุณ “ยอมรับ“ พระเยซูคริสต์เป็น “พระเจ้า และ พระผู้ช่วยให้รอด“ ของคุณแล้วนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จึงไม่ใช่ เป็นของตัวคุณเองอีกต่อไป แต่คุณได้กลายมาเป็นของพระเจ้าแล้ว ความผิดบาปกรรมเวรไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรของคุณอีกต่อไป พระเยซูคริสต์รับโทษเหล่านั้นแทนที่คุณแล้ว พระองค์ตายและเป็นขึ้นมาอีก พระองค์ดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพื่อประกาศว่า พระองค์เป็นคนแรก เป็นผลแรก ของคนอีกมากมายที่จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายเหมือนกับพระองค์ด้วย ใช่ครับ พระองค์ได้มอบ “ชีวิตอย่างพระเจ้า“ นี้ให้กับคุณแล้ว โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ เนื่องจากพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ ชีวิตที่พระองค์มอบให้กับคุณผู้ที่เชื่อไว้วางใจในองค์พระเยซูคริสต์แล้วนั้น จึงถูกเรียกว่า “ชีวิตนิรันดร์“ และหากคุณรู้แล้วเช่นนี้ ว่าชีวิตเก่าที่คุณเคยมี กิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณเคยคิด เคยทำ ก็ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้วที่ไม้กางเขน ชีวิตที่คุณมีเหลืออยู่นี้ จึงเป็นของพระเจ้า คุณเป็นของพระคริสต์แล้ว ก็จงดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกและทรงเลือกคุณไว้แล้วเถิดครับ
ให้คุณร้องประกาศอย่างนี้ ทุกวันว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อ ในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า“ กาลาเทีย 2.20
นี่แหละครับ จุดประสงค์และความสนุกของการซ่อนไว้ คือ เพื่อที่จะถูกค้นพบ ในขณะเดียวกัน ความตื่นเต้นยินดีเกิดขึ้น เมื่อพระองค์พบคุณ และเมื่อคุณหาพระองค์พบ ทั้งคู่ก็ได้เจอสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด คือ ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คนเราไม่ออกค้นหาหรอกครับ หากสิ่งเหล่านั้นไม่มีคุณค่า คนเราออกค้นหามัน ก็เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณค่ายิ่งสำหรับเขา คนอื่นอาจจะดูว่ามันไม่มีค่า แต่สำหรับพระเจ้า คุณ นั้นมีค่าสมควรแก่การค้นหา ค้นให้เจอ และค้นให้พบ และที่สำคัญ แม้ว่าคุณจะอยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้าที่ไหน ยากลำบากแค่ไหน หรือ พระองค์ต้องสูญเสียอะไรไปมากแค่ไหน พระองค์ก็จะทำ เพื่อให้ได้คุณมาอยู่กับพระองค์ คุณเห็นความรักอย่างทุ่มเท และอย่างไม่ลดละของพระเจ้าไหมครับ?
สุภาษิต 25.2 กล่าวไว้ว่า “ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คือ การซ่อนสิ่งต่าง ๆ ไว้ แต่ศักดิ์ศรีของพระราชา คือ การค้นสิ่งต่าง ๆ ให้ปรากฏ“ ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์พระบุตรพระเจ้าจึงกล่าวว่า “เพราะทุกคนที่ขอ ก็ได้รับ คนที่แสวงหา ก็พบ และ คนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้แก่เขา“ มัทธิว 7.8 คุณได้รับ “ศักดิ์ศรีของพระราชา“ แน่ ๆครับ เมื่อคุณค้นพบสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าซ่อนไว้ และสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าซ่อนไว้ก็คือ “อาณาจักรของพระเจ้า“
พระเยซูคริสต์กล่าวว่า “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และ ความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่านด้วย“ มัทธิว6.33 หากคุณอ่านทั้งบทนี้ คุณก็จะเข้าใจว่า การแสวงหาที่พระเยซูคริสต์ต้องการให้คุณค้นพบนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม หรือเสื้อผ้า เพราะพระเจ้ารู้แล้วว่าคุณต้องการสิ่งเหล่านี้ ศัตรูมันต้องการให้เราจดจ่อ และหมกมุ่นอยู่กับแต่สิ่งที่เป็นเนื้อหนัง และมีอยู่เฉพาะในโลกนี้ พระเยซูคริสต์กำลังทำให้คุณเห็นความเป็นจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า มีคุณค่ามากยิ่งกว่า ควรค่าแก่การค้นหา และตามติดไป หลายคนพลาดและหยุดอยู่แค่ หา “อาณาจักรของพระเจ้า“อย่าลืมว่า เราต้องหา “ความชอบธรรมของพระองค์“ ไปด้วยนะครับ อะไรคือ อาณาจักรของพระเจ้า และ อะไรคือ ความชอบธรรมของพระองค์ ครับ ?
อาณาจักรของพระเจ้า ก็คือ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นครับ และสุดยอดของการทรงสร้างก็คือ มนุษย์ครับ ใช่ครับ นั่นก็คือ คนทุก ๆ คนบนโลกนี้ ไม่ว่าจะชาติไหนภาษาไทย เผ่าพันธุ์ไหน พวกเขาเป็นของพระเจ้าหมดครับ ส่วน “ความชอบธรรมของพระองค์“ คือ องค์พระเยซูคริสต์ครับ นั่นหมายความว่า พระเจ้าปรารถนาที่จะอยู่กับมนุษย์ครับ ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก นั่นก็คือ สิ่งที่มองไม่เห็น และสิ่งที่มองเห็น เพื่อที่พระองค์จะมีความสัมพันธ์กับ“ทุกสิ่ง“ ที่พระเจ้าสร้างครับ พระองค์เดินมาคุยกับอาดัมทุกวัน และเขาก็พูดคุยกับพระองค์หน้าต่อหน้า นี่แหละครับ อาณาจักรของพระเจ้า และอีกไม่นานนี้พระองค์จะนำทั้งสองโลกนี้มารวมกัน โลกที่มองไม่เห็น และ โลกที่มองเห็น สวรรค์ กับ แผ่นดินโลก จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันครับ ในองค์พระเยซูคริสต์ และ คุณเอง ก็เป็นเป้าหมายของแผนการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ของพระเจ้าครับ ใช่ครับ คุณ ไม่ได้เป็นแค่ ส่วนเล็ก ๆ นะครับ คุณ เป็นเหตุผลที่พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขนครับ พระองค์มาเพื่อที่จะซื้อคุณมาจากความตาย และสวมมงกุฏ และหวานตรา ให้กับคุณ เพื่อที่คุณจะครอบครองร่วมกับพระองค์ เพื่อที่คุณจะนำ “อาณาจักรสวรรค์“ มาอยู่บนโลกนี้ โดยทางพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้ทรงประทับสถิตอยู่ในคุณแล้วครับ ด้วยการวางมือบนคนไข้คนป่วยรักษาพวกเขาให้หายขาด ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา ทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด ทำให้คนตาบอดมองเห็น คนเป็นใบ้พูดได้ คนหูหนวกได้ยิน และขับผีออกในพระนามพระเยซูคริสต์ นี่แหละครับ ชีวิตของคุณ ในอาณาจักรของพระเจ้า นี่แหละครับ การติดตามและแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อน
เวลานี้ คุณรู้แล้วว่า คุณไม่อาจค้นพบความหมายของชีวิตได้จากยาเสพติด จากเพื่อน จากเรื่องเพศ จากการมีเงินทองมากมาย เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่กับคุณถาวร และไม่ได้ให้คุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงว่า คุณเกิดมาเพื่ออะไร? มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ตายแล้วไปไหน? หากคุณยังคงเสาะหา หรือ ไล่ตามติดสิ่งเหล่านั้นไป คุณก็จะพลาด ชีวิตที่แท้จริงที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับคุณ อย่าลืมว่า ชีวิตของคุณไม่ได้สิ้นสุดที่ความตายนะครับ แต่ชีวิตแท้จริงของคุณเริ่มต้นเมื่อคุณเชื่อไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ต่างหากครับ
แม้ว่าชีวิตคริสเตียนผู้ติดตามพระเยซูคริสต์นั้น จะเผชิญกับหนทางที่ยากลำบาก คุณก็รู้แล้วว่า นี่เป็นหนทางเดียว และ เป็นสิ่งมีคุณค่าแก่การขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะตามติดพระองค์ไป พระเยซูกล่าวว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น ส่วนประตูเล็ก และ ทางแคบนำไปสู่ชีวิต และ มีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ“ มัทธิว 7.13-14 เวลาที่เขาค้นพบแหล่งน้ำมัน หรือ ขุดทองเจอ หรือ ทำเหมืองเพชรพลอย ไม่ใช่คนทั้งโลก หรือ ทั้งประเทศจะรวยไปด้วยนะครับ เฉพาะคนที่หาเจอ และ เป็นเจ้าของเท่านั้นครับ ผมอธิษฐานว่า วันนี้ ขณะที่คุณได้อ่านบรรทัดนี้อยู่นั้น คุณเจอขุมทรัพย์ใหญ่แล้วครับ คุณได้พบ พระเยซูคริสต์ผู้ยกโทษบาปกรรมเวรให้คุณแล้ว และให้คุณกลายมาเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง มาเป็นลูกของพระเจ้าผู้สร้างทุกอย่างที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระองค์ผู้เป็นเจ้าของจักรวาลและทุกสิ่งที่มีลมหายใจ ในพระองค์ คุณพบทุกสิ่งครับ อันที่จริง เพราะสำหรับพระองค์แล้ว คุณคือ ทุกสิ่งของพระองค์ครับ และ พระองค์หาคุณจะพบแล้ว เวลานี้
มาทำความรู้จักพระเยซูคริสต์ พระเจ้าแห่งชีวิตของคุณเถิดครับ
ด้วยรักในพระคริสต์
พันธกิจแห่งการคืนดีกัน
เอ็ม สุรชัย
ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ผมเคยคิดว่าคงมีแต่ผมเท่านั้นที่เจอแต่ปัญหา และความยากลำบาก ผมต้องทำงานสองสามที่ วันละสิบสองชั่วโมงเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งอุปสรรคในการทำงานกับเจ้านาย กับเพื่อนร่วมงาน มีทั้งคนที่ชอบเราและไม่ชอบเรา อีกทั้งลูกค้าที่เราทำธุรกิจด้วย ไหนจะต้องคอยระวังขโมย ระวังรถยนตร์ขณะอยู่บนทางด่วนและข้ามถนน ยังไม่นับความเครียด ความกังวลเกี่ยวกับชีวิตและอนาคต ผมบอกพระเจ้าว่าคงไม่มีใครเข้าใจแน่ ๆ ว่าผมต้องเผชิญอะไรบ้าง
จนกระทั่ง เช้านี้ ผมได้อ่านพระคัมภีร์หนังสือ 2 โครินธ์ บทที่ 11.16-33ผมจึงได้เรียนรู้ว่า อาจารย์เปาโลเผชิญอุปสรรคมากมายกว่าผมอีก ขณะเดินทางไปประกาศโดยทางเท้า หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าเส้นทางระหว่างเมืองเปอกาไปยังปิสิเดียนอันทิโอกนั้นมีขโมยคอยดักปล้นนักเดินทางอย่างชุกชุม อีกทั้งเส้นทางการเดินทางระหว่างกรุงเยรูซาเล็มไปยังอันทิโอกนั้น แม่น้ำมักจะไหลเอ่อท่วมเส้นทางอีก คุณคิดว่าอาจารย์จะบ่น ท้อ ต่อว่า หรือถามพระเจ้าว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้? ทำไมต้องเป็นฉัน ไหม? นี่เรากำลังจะไปทำงานเพื่อพระเจ้านะ กำลังจะไปประกาศข่าวประเสริฐให้คนที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้ามาก่อนเพื่อให้เขาเชื่อแล้วได้รับความรอดนะ? แล้วทำไมต้องมาอดข้าว อดนอน ต้องทำงานหนัก ไม่มีเงินเพียงพอ ต้องคอยหลบซ่อนจากคนที่คอยคิดทำร้าย?
ผมไม่คิดว่าอาจารย์เปาโลจะบ่นเหมือนผม ตรงกันข้ามอาจารย์คงจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าขณะเดินข้ามแม่น้ำที่ขวางทางนั้น คงจะขอบคุณพระเจ้าขณะทำงานอดหลับอดนอน คงจะอวยพระพรและให้แถมเสื้อคลุมอีกตัวให้พวกหัวขโมยเผื่อพวกนั้นจะหนาว คงจะเดินทางต่อไปและไม่คิดจะหันหลังกลับ เพราะอะไร? เพราะท่านรู้ว่าใครเป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลกนี้ ใครเป็นเจ้าของคลื่นลมในทะเล สรรพสัตว์และป่าเขาทั้งหลาย ใครเป็นเจ้าของชีวิตของคนทั้งปวง ของท่าน ของคุณ และของผม
ในวันที่เลวร้ายมาถึง วันที่ทรงผมคุณยุ่งไปหมด วันที่คุณตื่นนอนผิดข้างเตียง วันที่สวรรค์ไม่เป็นใจ หรือวันอะไรก็ตามที่คุณคิดว่าจักรวาลกำลังแกล้งคุณ ไม่ว่าคุณจะเรียกวันนั้นเป็นภาษาอะไร ขอให้คุณรู้ไว้ว่า พระเจ้ารักคุณ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระเจ้าทรงครอบครองอยู่ และ พระองค์อยู่เคียงข้างคุณ ไม่เคยห่างไกลคุณเลยแม้สักนิดเดียว แทนที่เราจะบ่น ต่อว่า หรือพาลใส่คนอื่น เรามาขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น กำลังกายที่มี สุขภาพ และ ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ดีกว่า มาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับคำสรรเสริญทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้วนดีเลิศ ฝากความฝัน ความหวังของคุณไว้กับพระองค์ เหมือนอาจารย์เปาโล และเหมือนผม
แม้ชีวิตจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เรามีพระเจ้าผู้ใส่สีให้ดอกกุลาบจูงมือเราไปด้วยบนเส้นทางชีวิตอันน่ามหัศจรรย์ และโลดโผนอย่างนี้ ใครจะไม่สรรเสริญพระองค์สำหรับชีวิตอย่างนี้เล่า
ชีวิตที่ปราศจากพระเจ้า นั้นไร้ความหมาย และเดียวดายที่สุด เพราะเราจะไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม แล้วอยู่ไปเพื่ออะไร และหลังจากโลกนี้ไปแล้วเราจะไปไหน มีบทเพลงหนี่งจากผู้ประพันธ์เพลงพักพิงในพระเจ้า ที่ผมฟังตอนเป็นวัยรุ่นและยังคงจำมาจนถึงทุกวันนี้ว่า
"ชีวิตมีความหมาย มีคุณค่า เมื่อมีพระองค์นำพาเมื่อใด ร่างไร้วิญญา ก็รู้ว่าจะอยู่กับพระองค์" วันนี้คุณได้ตัดสินใจมอบชีวิตให้พระเยซูเป็นผู้นำทางคุณในการเดินทาแห่งชีวิตนี้หรือยัง? หากคุณยังไม่ตัดสินใจ ผมขอถามว่า คุณคิดว่าคุณจะเสียชีวิตเมื่อไร? ครับ ไม่มีใครรู้ ผมเคยคิดว่าผมคงจะอยู่ไปตลอดกาลตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น เผลอแว้บเดียวเวลานี้ผมสามสิบเอ็ดแล้ว หากผมมีอายุถึงหกสิบปี นี่ก็ครึ่งชีวิตเข้าไปแล้ว ยังจะรออะไรอีก ความรอดมาถึงคุณวันนี้แล้ว ร้องเรียกหาพระเยซูวันนี้
"พระองค์เจ้าข้าลูกต้องการพระองค์ ชีวิตลูกขอมอบแด่พระองค์ ลูกอยากรู้จักพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ และเป็นขึ้นจากตายร่วมกับพระองค์ เปลี่ยนชีวิตที่จำเจของลูก ให้มีความหมาย ให้วัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างลูกมาสำเร็จตามใจพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน (ขอให้เป็นตามนั้น)"
หากคุณได้อ่านออกเสียงตามนั้น ด้วยความตั้งใจจริง ขอเชิญติดต่อ bluemtwo76@yahoo.com เพื่อที่คุณจะได้พบปะพี่น้องของคุณในพระเจ้า เขาเหล่านั้นได้ตัดสินใจเหมือนกับคุณ แล้วชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกเลย ไม่สำคัญว่าจะมีกลีบกุหลาบไหม สำคัญที่ว่าใครร่วมเดินทางไปกับคุณ
ขอความรักของพระเจ้าอยู่ด้วยกับคุณเสมอไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
เอ็ม สุรชัย
ชีวิตที่ยอมแล้ว
ผมไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ของชีวิต
ผมเคยพึ่งพาและไว้วางใจในพระเจ้าสุด ๆ เรียกได้ว่าทุกก้าวเดินไปด้วยการสนทนา สามัคคีธรรมกับพระองค์ อธิษฐานฟังเสียงพระองค์ ไว้วางใจพระองค์ผู้ทรงจัดเตรียมให้ทุกสิ่ง เมื่อมั่นใจว่านี่เป็นการทรงนำของพระองค์ก็ก้าวไปด้วยความเชื่อ แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วยตา แล้วพระองค์ก็สำแดงมหัศจรรย์ของพระองค์ นำไปสู่การถวายเกียรติแด่พระองค์
แต่แล้วเมื่อผมมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ ผมก็เริ่มไว้วางใจในตัวเอง ในงานที่ทำ ในฐานะ ในการเงิน ความโลภ ความหยิ่ง ความเห็นแก่ตัว ความโกรธ ความเคียดแค้น ความชั่วร้าย เริ่มเข้ามาเกาะกินใจผม ผมดำเนินชีวิตสองแบบ ปล่อยตัวไปตามตัณหา และล้มลงในการบาป...
ผมรู้ตัวและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลายครั้งพระเจ้าทรงเคาะเรียกในใจ ส่งคนมาหนุนใจ พระคำตรัสผ่านคำเทศนา ผ่านดนตรีและบทเพลง ผ่านข้อเขียน แม้กระทั่งภาพยนตร์เรียกให้ผมกลับใจใหม่ ผมพยายามเลิกกิจกรรมที่รู้ว่าผิดต่อน้ำพระทัยพระองค์ แต่มันยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ผมฝืนแล้วก็แพ้แก่การทดลอง ผมลงโทษตัวเองว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะเป็นคนดีของพระเจ้า แต่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ฤทธิ์เดชของพระเจ้าไม่เพียงพอจะช่วยผมได้เหรอ? ผมจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี?
มีหลายอย่างที่ผมอธิษฐานขอพระเจ้าแล้ว ยังคงต้องรอคอยต่อไป บางอย่างคำตอบมาช้ากว่าใจผมต้องการ ผมยอมรับว่าผมคาดหวังว่าคำตอบจะต้องมาวันนี้ และต้องผิดหวังทุกวัน ผมรู้สึกท้อใจ จนคิดที่จะหมดหวังแล้ว ผมคิดว่าผมทำอะไรผิดเหรอ ทำไมผมไม่ได้รับเหมือนกับคนอื่นเขา?
...แล้วเย็นวันหนึ่ง
ผมฟังคำเทศนาจาก อาจารย์เกร้ก ทางอินเตอร์เน็ท ถ้อยคำเหล่านั้นพูดกับผมโดยตรง ถึงการมอบถวายชีวิตทั้งหมดให้กับพระเจ้าก่อน จากพระธรรมโรม บทที่ 12 เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ แล้วพระเจ้าจะทรงสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์แก่ผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเลิศกว่าการตัดสินใจในการดำเนินชีวิตของเราเอง พระคุณของพระเจ้าเพียงพอ และมากเกินพอสำหรับชีวิตผม คุณที่ไม่กล้ามอบหัวใจและชีวิตของคุณให้พระองค์ เพราะคุณคิดว่าพระเจ้าจะนำไปในทางที่คุณไม่อยากไปหรือ? (นั่นแหละตัวผมเลย) ทางที่พระเจ้านำไปนั้นเป็นทางที่ดีที่สุด คนที่พระองค์ไม่รักษาโรคให้ พระองค์เปิดโอกาสใหม่ให้คุณได้เป็นพยานแก่คนอื่นมากขึ้น พระเจ้าสนใจและเอาใจใส่ชีวิตคุณทุกย่างก้าวเดิน หากเพียงคุณจะหยุดฟังพระองค์ บางทีคุณยุ่งเกินไป ทำงานเยอะ เรียนเยอะ เอาใจใส่แต่ตัวหนังสือ จนลืมความหมายที่แท้จริงของทั้งประโยค ถึงเวลาที่คุณจะต้องหยุด นมัสการพระองค์ นั่งกับพระองค์ และฟัง
เหมือนยาโคบที่ต่อสู้กับชีวิตที่เขาต้องเกิดมาเป็นน้องคนเล็ก ทั้ง ๆ ที่เขาอยากจะเป็นพี่คนโต ต้องหลอกให้พี่ชายขายสิทธิลูกคนโตให้ด้วยซุปหนึ่งถ้วย ต้องหลอกพ่อโดยปลอมตัวเป็นพี่ชายเพื่อจะได้คำอวยพรของพ่อก่อนตาย ต้องหลบหนีการไล่ล่าของพี่ชาย ต้องทำงานหลักขดหลังแข็งเจ็ดปีเพื่อจะได้แต่งงาน แต่ดันถูกพ่อตาหลอกให้แต่งกับคนที่ไม่ได้รัก ต้องทนทำงานอีกเจ็ดปีเพื่อจะได้แต่งกับสาวที่รัก ต้องหอบภรรยา และลูก ๆ หนีพ่อตามา เพื่อกลับบ้าน สำหรับชีวิตยาโคบมันคือการต่อสู้และเวลานี้ พระเจ้าจึงมาปรากฏกับเขาแบบที่เขาเป็น คือนักมวยปล้ำ พระองค์เข้าต่อสู้กับยาโคบ และทรงยอมให้ยาโคบชนะ เพียงเพื่อจะถามยาโคบว่า "เจ้าชื่ออะไร?" พระเจ้าไม่รู้จักชื่อของยาโคบเหรอ? ไม่ใช่ พระองค์กำลังถามยาโคบว่า ชีวิตนี้เจ้าจะดำเนินชีวิตให้สมกับชื่อไปอย่างนี้หรือ? (ยาโคบ แปลว่า หลอกเขา) พระเจ้ากำลังถามคุณว่า ชีวิตนี้คุณจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน? "มาเถิด ให้เราเปลี่ยนชื่อเจ้าให้ เป็นอิสราเอล นักรบของพระเจ้า" พระเจ้ากำลังตรัสกับคุณและผม
ขณะที่ผมกำลังเดินขี้นบ้าน ผมวางทุกสิ่งลงต่อพระพักตร์พระเจ้า ผมบอกพระองค์ว่า "พระบิดาเจ้าข้า ลูกยอมหมดต่อพระองค์แล้ว ลูกขอมอบคนที่ลูกรัก พ่อ แม่ คุณย่า การงาน เงินทอง สิ่งที่ลูกปรารถนาจะได้ อยากจะมี สิ่งของที่ลูกมีอยู่แล้ว ความรู้ ความสามารถ หัวใจ และชีวิตนี้ไว้กับพระองค์ เป็นเครื่องบูชา ขอทรงนำพาไปในทางที่พระองค์ทรงเห็นชอบ ขอทรงนำลูกไป ลูกขอบพระคุณพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่ได้ทรงประทานให้ลูกแล้ว ที่ทรงตอบคำอธิษฐานของลูกเสมอมา ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงชำระล้างจิตวิญญาณของลูกด้วยพระคำ ด้วยน้ำแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงรื้อฟื้นใจใหม่ภายในลูก ให้ลูกใช้กายนี้เพื่อประโยชน์ในแผ่นดินของพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน ขอให้เป็นเช่นนั้น"
สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นผมรู้สึกว่าใจที่เศร้าหมองได้จางหายไป เหมือนม่านที่บังอยู่ถูกยกออกไป ผมสงบลง พร้อมที่จะเผชิญที่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปกับพระองค์ ผมขอพระเจ้าประทานความสำเร็จให้ในสิ่งที่ผมกระทำ หากเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการ ชีวิตนี้ผมขอยอมแล้วต่อพระองค์ ให้พระองค์ใช้ทำตามใจพระองค์
เอ็ม สุรชัย
18 กุมภาพันธ์ 2007
ผู้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ผมขึ้นลงรถเมล์และไม่เคยคิดที่จะขับรถ ผมยังคงจำได้ว่าพี่โบสอนผมขับรถในซอยที่โบสถ์ซึ่งค่อนข้างแคบและผมกลัวมาก คือกลัวว่าจะไปชนรถคันอื่น เวลาสวนกันในซอย ผมเลยเลี่ยงลงข้างทางแทน นับจากนั้นมา คือ นั่งรถเมล์ปลอดภัยกว่า
เมื่อผมเดินทางมาที่นี่ครั้งแรก ทุกอย่างดูตื่นเต้นไปหมด สนุกสนานกับการได้ท่องเที่ยว แต่ต่อมาเมื่อต้องอยู่ไปนาน ๆ ทุกอย่างเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ต้องปรับตัว และลืมตัวเองหลายอย่าง บางอย่างที่เราเคยทำ เคยเป็น ต้องกลายเป็นอีกแบบ ต้องเผชิญกับปัญหาหลายรูปแบบ ที่นี่ระบบรถเมล์ไม่เหมือนบ้านเรา การจราจรก็ไม่เหมือนกัน ขับกันคนละด้าน เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด กลายเป็นเลี้ยวขวาได้แต่ต้องดูคนข้ามถนนก่อน และดูรถที่จะมาจากข้างซ้ายก่อน ส่วนเวลาจะเลี้ยวซ้าย ต้องเข้าไปอีกช่องทางหนึ่ง และต้องเลื่อนรถขึ้นไปอยู่ตรงกลางสี่แยก ประชันหน้ากับรถที่สวนมาซึ่งกำลังจะเลี้ยวซ้ายฝั่งของเขา ดูรถสวนกันให้ดี เมื่อไฟเขียวกำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดง ถึงจะเลี้ยวซ้ายได้ ครับ สนุกมากครับ ผมสอบขับรถตกถึงห้าครั้งครับ เพื่อน ๆ คนไทยที่นี่หัวเราะกันใหญ่
ประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ การไม่มีรถยนตร์ส่วนตัว เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก การที่จะได้ใบขับขี่ยิ่งยากกว่า คุณจะต้องสอบข้อเขียนแบบให้เลือกตอบ สุ่มคำถามจากหนังสือคู่มือการขับรถ ผิดได้แค่สี่ข้อจากสามสิบข้อ คุณตกได้แค่สามครั้ง หลังจากนั้นเสียเงินค่าสอบใหม่ ผ่านข้อเขียนต้องมาสอบขับโดยมีเจ้าหน้าที่นั่งไปด้วย เขาจะให้เราเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา อ่านป้ายที่ติดไว้ตามถนนและทำตาม ห้ามขับเร็วเกินที่กำหนดไว้ ห้ามใช้กระจกข้าง ต้องหันไปดูเอง ห้ามเข้าเลนคนขับจักรยาน ห้ามกลับรถในถนนแปดเลนที่มีเส้นเหลืองสองเส้นกั้นไว้ จอดรถในที่ว่างระหว่างรถสองคันเขาอนุญาตให้ใส่เกียร์ถอยหลังได้แค่สามครั้ง เอาเป็นว่าคุณตกได้แค่สามครั้ง แล้วต้องกลับไปสอบข้อเขียนใหม่ เสียเงินใหม่
เมื่อผมได้รถ ผมขอบพระคุณพระเจ้ามาก ผมบอกพระเจ้าว่าผมจะนำไปใช้ในงานของพระเจ้า แต่ต่อมาผมเริ่มออกนอกทาง และนำของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ไปใช้ในทางที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผมมีความหยิ่งผยองและทำตามใจตัวเอง ไม่ใช่ตามพระองค์ พระเจ้าพยามเตือนผม ทางคำเทศนา และสถานีวิทยุเพลงคริสเตียน แต่ผมก็ดื้อและไม่ได้เอาใจใส่ฟัง และแล้ววันหนึ่ง ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ทรงเอาของขวัญนั้นคืนไป
พระเจ้าเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ทรงรู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมกับเรา และอะไรที่จะเป็นอันตรายกับเราหากเรายังคงดำเนินชีวิตอย่างนี้ต่อไป
ผมเสียใจและร้องไห้มาก ไม่ใช่เพราะเสียดายรถ แต่เป็นที่ผมสูญเสียทุกสิ่ง หน้าที่ การงาน การเงิน ทำให้เพื่อน ๆ ต้องลำบาก จากความหยิ่งผยองกลายเป็นความอับอาย และเป็นที่ดูหมิ่น ผมไม่สามารถขับรถต่อไปได้อีก ผมรู้แล้วว่ามนุษย์มักจะคิดว่าเขานั้นยิ่งใหญ่และทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า แต่เขาลืมไปว่า ชีวิตของเขานั้นเหมือนหัวหอมใหญ่ เขาห่อตัวเองด้วยชั้น แต่ละชั้นคือเกราะป้องกันของเขา อาชีพ การงาน การเงิน ครอบครัว เพื่อน บ้าน รถ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี และสิ่งของต่าง ๆ แต่เขาลืมไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ่งเหล่านี้หายไปในพริบตา เมื่อหายนะมาเยือน เมื่อน้ำท่วมมา เมื่อคลื่นยักษ์มาก เมื่อพายุเทอนาโดกระหน่ำลงมา เมื่อจู่ ๆ ก็แผ่นดินไหว เมื่อพายุหิมะถล่มมา เมื่อภูเขาที่เงียบสงบระเบิดขึ้นมา คุณเอาชีวิตคุณวางไว้ที่ไหน? คุณกำลังไว้วางใจในอะไร? สิ่งของเหล่านี้หรือ? วางใจในมนุษย์หรือ? ก็เหมือนกับหัวหอมใหญ่ เมื่อคุณแกะมันออกทีละชั้น ทีละชั้น ทีละชั้น คุณเจออะไรในหัวหอมใหญ่ครับ? ไม่ครับ คุณเจอความว่างเปล่า ชีวิตคุณไม่ได้ประกอบไปด้วยสิ่งของเหล่านี้ คุณต้องการพระเจ้า
สิ่งของมันไม่เปลี่ยนตัวมันเอง คุณซื้อมายังไงมันก็เป็นอย่างนั้น คุณต้องอัพเกรดมัน มันมีของใหม่ ๆ มาให้คุณซื้อเสมอ แล้วคุณก็จะเบื่อหน่ายมัน หรือไม่ใช้มันอีก เพื่อน ๆ และครอบครัวที่คุณวางใจต้องจากไป หรือแยกทางกันไป คุณจะเอาความมั่นคงปลอดภัย ความไว้วางใจของคุณไปไว้ที่ไหน?
มีผู้เดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตคุณจะเป็นยังไง ชีวิตคุณจะรุ่งโรจน์มีเหลือเฝือ หรือขัดสนและยากลำบาก พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งคุณ แม้คุณจะมองไม่เห็นพระองค์ พระองค์มองเห็นคุณ และอยู่ด้วยกับคุณเสมอ มอบชีวิตของคุณ หัวใจของคุณ ทุกสิ่งที่คุณมีนั้นล้วนมาจากพระองค์ ให้กับพระองค์ บอกพระองค์ว่าคุณยอมสยบต่อพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่ง ทุกชีวิตเป็นของพระเจ้า พระองค์สมควรได้รับการสรรเสริญ พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้นและคุณต้องเล็กลงเรื่อย ๆ
นี่เป็นสิ่งที่ยากเกินไปที่จะทำหรือ? ไม่เลย เพราะคุณรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งคุณ วินาทีนั้นที่คุณเปลี่ยนใจกลับมาหาพระองค์ ร้องเรียกหาพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า "อย่ากลัวเลย เพราะตั้งแต่วันแต่วันแรกที่ท่านได้ตั้งใจจะเข้าใจ และถ่อมลงต่อพระเจ้าของท่านนั้น พระเจ้าทรงฟังถ้อยคำของท่าน" (ดาเนียล 10.12) ยิ่งกว่านั้นอีก พระบิดาเจ้าตรัสว่า "ก่อนที่เขาร้องเรียก เราจะตอบ ขณะที่เขายังพูดอยู่ เราจะฟัง" (อิสยาห์ 65.24) หลังจากเหตุการณ์นั้น ในขณะที่ผมยังอยู่ในความยากลำบาก พระสัญญาของพระเจ้ามาถึงผมว่า "และนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง และในปีที่สองสิ่งที่ผลิจากเดิม แล้วในปีที่สาม จงหว่านและเกี่ยว และทำสวนองุ่นและกินผลของมัน" (อิสยาห์ 37.30) ผมรู้ทันทีว่าผมจะต้องลำบากไปอีกสักหน่อย แต่พระคุณจะยังดำรงอยู่กับผมตลอด
ปีหนึ่งผ่านไป ปีที่สองผ่านไป ผ่านวันเกิดผมไปแล้ว ผมเริ่มท้อใจเพราะต้องนอนดึกตื่นเช้านั่งรถเมล์ไปทำงาน หากมาถึงที่ป้ายช้าไปสามสิบวินาที รถเมล์เขาไม่รอ ต้องรอคันใหม่อีกสิบหน้าถึงสามสิบนาที แล้วต้องเดินประมาณสองกิโลจากบ้านไปป้ายรถเมล์ นั้งรถสองต่อ ลงรถแล้วเดินอีกหนึ่งกิโลไปที่ทำงาน ผมทวงพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้เมื่อสองปีที่แล้ว ช่วงเวลาแห่งการรอคอยเป็นอะไรที่ยากลำบากจริง ๆ แต่สำหรับ ตลอดชีวิตผมต้องรอคอยทุกอย่าง ผมระลึกถึงพระสัญญานั้น ผมบอกพระเจ้าว่าผมไม่เอาแล้ว ขอยอมสยบต่อพระเจ้าดีกว่า ไม่มีรถก็ไม่เป็นไร ผมอยากได้มากไปก็กลายมาเป็นรูปเคารพของผมอีก เมื่อผมตัดสินใจด้วยท่าทีเช่นนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ภายในหนึ่งอาทิตย์เอกสารทุกอย่างของผมได้มา ผมได้ใบขับขี่คืนมาด้วยการสอบข้อเขียน ผมผิดสี่ข้อ แต่เจ้าหน้าที่เมตตาให้ลองใหม่ ผมตอบถูกก็ผ่านทันที ผมไม่มีเงินสักบาทที่จะซื้อรถ เพื่อนก็พาผมไปซื้อโดยเขาจ่ายให้ ผมไม่มีประกันรถตอนนั้น เขาไม่ให้เอารถออก เพื่อนอีกคนก็ซื้อประกันรถทางอินเตอร์เน็ตแล้วส่งแฟกซ์มาให้ สรรเสริญพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้รักษาพระสัญญาทั้งสิ้นของพระองค์ ให้คุณเข้ามาหาพระเจ้าในสภาพที่คุณเป็นอยู่ ผมไม่ได้กำลังบอกคุณว่ามาหาพระเจ้าแล้วพระองค์จะประทานรถให้ ผมกำลังบอกคุณว่า อะไรสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ? คุณกำลังวางใจในอะไร? หรือใคร? สิ่งของและผู้คนนั้นไม่ยั่งยืน เมื่อสิ่งไม่คาดคิดเกินขึ้น คุณจะเหลืออะไร? ผมบอกพระเจ้าและเล่าให้คุณฟังในบทความ "ชีวิตที่ยอมแล้ว" ว่าผมไม่ได้ยึดติดกับสิ่งของเหล่านี้อีกต่อไป ขอให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิตผม และผมทำตามใจพระเจ้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าตอบหลังจากนั้น
คุณเองสามารถมีประสบการณ์ความรักมั่นคงของพระเจ้าได้ เชิญมาหาพระองค์ และวางลำดับความสำคัญชีวิตคุณให้ถูกต้อง อะไรนั่งอยู่บนบัลลังก์ใจของคุณ สิ่งของ ผู้คน หรือ พระเจ้าผู้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง?
เอ็ม สุรชัย
27 กุมภาพันธ์ 2007
ความเชื่อไว้วางใจ
มีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยชอบคำว่า ความเชื่อ เลย ไม่ว่าจะแปลเป็นภาษาอะไร ฟังดูแล้วมันเหมือนเป็นคำวิเศษที่เนรมิตอะไรก็ได้ มีนักร้องหลายคนเอาไปแต่งเป็นเพลงว่าขอให้เชื่อก็จะเป็นไปได้ ผมถามตัวเองเหมือนกันว่าคนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจะเชื่ออะไรกัน? แล้วความเชื่อคืออะไรกันแน่?เมื่อผมมาลองคิดนึกดูแล้วว่า แท้จริงในแต่ละวัน เราทุกคนได้บริหารความเชื่อนี้อย่างมาก เรียกได้ว่าในทุกกิจกรรมของชีวิตเลยก็ได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็เชื่อแล้วว่านี่คือวันใหม่ พระอาทิตย์ต้องขึ้น นาฬิกาต้องเดิน หัวใจเราต้องเต้น ยาสีฟันต้องใช้แล้วฟันขาวสะอาด เปิดก๊อกน้ำ น้ำก็ต้องไหล เปิดไฟต้องติด เปิดเตาแก๊สต้องใช้ได้ ปิดประตูต้องล็อกได้ สตาร์ทรถต้องติด สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครใส่ใจที่จะเข้าใจมันว่ามันทำงานยังไง มีใครบ้างตื่นเช้าด้วยการพิสูจน์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่าสารอะไรบ้างที่ทำให้ทำลายแบคทีเรียในช่องปากของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยี่ห้อใดทำได้ดีกว่า เราซื้อของใช้ของด้วยความเชื่อ เชื่อว่ามันต้องใช้งานได้ และเป็นประโยชน์ เมื่อผมนั่งรถเมล์ ผมไม่รู้หรอกครับว่าคนขับเขาชื่ออะไร ทำงานมานานแค่ไหน หรือ เขารู้จักเส้นทางดีหรือเปล่า ผมเชื่ออย่างเดียวว่า เมื่อผมขึ้นไปนั่งรถเมล์ เขาจะขับไปและพาผมไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย นั่นแหละครับ คือ ความเชื่อ
ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง ฮิบรู 11.1
ถ้าเห็นแล้วก็ไม่เรียกว่า ความเชื่อ แต่ว่า เชื่อในอะไรนี่ซิครับสำคัญกว่า คนเราจะบอกว่าเขามีความเชื่อในหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างได้ ในแต่ละสถานการณ์ แต่คุณรู้ดีว่า สถานการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงเสมอ เหมือนคำโฆษณาว่า "อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ" พวกเขาเชื่อในตัวยา ว่าจะรักษาเขาให้หายได้ ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งจัการวาล และโลกนี้เป็นของพระเจ้า ทุกสิ่งที่หายใจเป็นของพระเจ้า อาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นซึ่งพระองค์ทรงเป็น ไม่เคยมีใครเหมือนพระองค์ในอดีต ไม่มีใครเหมือนพระองค์ในปัจจุบันนี้ และไม่มีทางที่จะมีใครเหมือนพระองค์ในอนาคต พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ อย่างที่พระองค์ประสงค์จะกระทำ บางอย่างที่พระองค์ทำแล้วเราไม่เข้าใจ แต่พระเยซูนั้นฉลาดกว่าเรามากนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกพระองค์ว่า พระเจ้า
ผมเชื่อว่าการหายโรคมาจากพระเจ้า สำหรับบางคนทานยาก็หาย บางคนไว้วางใจพระเจ้าก็หาย บางคนออกกำลังกายก็หาย บางคนไม่ทำอะไรเลยก็หาย แต่บางคนไม่ว่าจะไปหาหมอคนไหน กินยาอะไรก็ไม่หาย อย่าได้ท้อใจ พระเจ้าทรงมีแผนการณ์ให้ชีวิตทุกชีวิต หากคุณมอบชีวิตของคุณไว้กับพระเจ้า และเชื่อว่าพระองค์เป็นอย่างที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็น พระองค์จะนำคุณไปในการผจญภัยครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ พระองค์จะเปิดโลกกว้างใหญ่ไพศาลให้คุณเห็นว่า แม้ว่าคุณจะไม่หายโรค ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เป็นใคร ตระกูลไหน ตำแหน่งอะไร คุณเป็นคนสำคัญที่สุดของพระเจ้า และพระองค์สามารถดูแลคุณได้ และจะไม่ทิ้งคุณเลย คุณจะมีตำแหน่งใหม่ ลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์เห็นว่าคุณมีคุณค่า และเป็นของพระองค์ พระองค์สามารถใช้คุณได้ในที่ที่คุณอยู่เวลานี้ คุณมีความเชื่อในพระองค์ไหม?เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากที่พระองค์ทรงเลือกวิธีของพระองค์ เพื่อนำเราแต่ละคนมาสู่จุดเปลี่ยนผัน เพื่อทดสอบความเชื่อของเราว่า มากน้อยแค่ไหน ความเชื่อของเราวางไว้กับอะไร หรือเราเชื่อใคร ขณะที่ผมกำลังอธิษฐานและเป็นกังวลใจเรื่องเอกสารที่ผมดำเนินเรื่องอยู่ ซึ่งแน่นอน คำตอบที่ออกมาจะตัดสินอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตของผม เรื่องของความกังวล ความกลัว และความเครียดนั้น ยกให้ผมเลย ผมเป็นที่หนึ่งในด้านนี้ คือ กลัวมากจนไม่กล้าออกจากห้อง ไม่กล้าแม้จะลงไปเดินข้างถนน จะเรียกผมว่าขึ้ขลาด ขึ้กลัว ก็ได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างนี้มาก่อน ยังจำได้ว่าเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นในกลุ่มอนุชนผมมีความกล้าหาญมากและไม่กลัวใคร หรือ อะไรเลยด้วย ผมได้ยินคำเทศนาทางวิทยุในรถยนต์ถึงเรื่องของพบพระเจ้าในวิกฤตการณ์ จาก 2 พงศาวดาร 20 กองทัพมหึมาของคนโมอับและคนอัมโมนยกมารบกับ กษัตริย์เยโฮชาฟัท ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยปัญหา และผมสามารถเข้าใจความรู้สึกของกษัตริย์เยโฮชาฟัทได้ว่า แม้ว่าท่านไม่ได้ไปหาเรื่องใคร ปัญหามันก็บุกเข้ามาเอง และท่านเหมือนกับผม คือ "ก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้า" ท่านได้ประกาศให้มีการอดอาหารทั่วประเทศ
การอดอาหาร งดการบันเทิงรื่นเริงทั้งปวงด้านร่างกาย เพื่อมุ่งความสนใจทั้งสิ้นไปทางฝ่ายวิญญาณ เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นได้นั้นไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่เป็นนิรันดร์ เมื่อเขาได้อธิษฐาน ท่านสรรเสริญพระเจ้าและระลึกถึงการช่วยกู้ในอดีต บอกว่าพระองค์เป็นใคร เคยทำอะไรมาบ้างเพื่อบรรพบุรุษของท่าน ทวงพระสัญญาที่พระองค์เคยให้ไว้ มอบสถานการณ์ที่วิกฤตนี้ไว้กับพระเจ้า ให้พระเจ้าจัดการ สิ่งหนึ่งซึ่งน่าสังเกตและเป็นท่าทีที่น่าปรารถนามากที่สุดในการเป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าก็คือว่า "เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าาจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์" (ข้อ 12)
ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้ ไม่รู้จะทำยังไงดี เป็นการยอมรับความเป็นมนุษย์ของเรา และยอมสยบต่อพระเจ้า สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ เพ่งดู จับตาดู รอคอยพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ผู้ทรงทราบทุกสิ่ง และฉลาดล้ำเลิศที่สุด อาจารย์บุญมาก กล่าวว่า พระเจ้าแท้ คือ พระเจ้าที่ช่วยได้ และ พระเจ้าที่ช่วยทัน พระเจ้าที่ไม่แท้คือ พระเจ้าที่ช่วยไม่ได้ และช่วยไม่ท&